TKP HEADLINE

Showing posts with label อำเภอเชียงคำ. Show all posts
Showing posts with label อำเภอเชียงคำ. Show all posts

ประเพณีปีใหม่ม้ง

ประเพณีปีใหม่ม้ง

            ประเพณีปีใหม่ม้ง หรือเรียกว่า น่อเป๊ะเจ่า หากจะแปลตรงตัว ก็คือ กินสามสิบ คำว่า น่อ หมายถึง กิน และคำว่า เป๊ะเจ่า หมายถึง สามสิบ คำว่า น่อเป๊ะเจ่า จะหมายถึง งานฉลองวันสิ้นปี หรือปีใหม่ ในช่วงก่อนถึงวันปีใหม่ จะมีการเรียกขวัญพืชไร่ โดยมีความเชื่อว่า หากไม่เรียกขวัญพืชไร่แล้วในปีต่อไปจะทำมาหากินไม่ได้ เนื่องจากข้าว (พืชผล) จะหนีจากเราไป และจะมีการล้มหมูขนาดใหญ่และอ้วนมาก เรียกว่า หมู่น่อจ๊ะ ซึ่งเป็นคำย่อของน่อจ๊ะเป๊ะเจ่า (ความหมายเดียวกับปีใหม่) การล้มหมูตัวนี้ผู้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารต้องดื่มเหล้าที่รินส่งต่อกันจนครบทุกคน กิจกรรม การละเล่นลูกช่วงของหนุ่ม สาว ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้ง ๒ ฝ่าย ได้พูดคุยทำความรู้จักกันและจะนำไปสู่การแต่งงานกันในที่สุด การละเล่นแข่งล้อเลื่อน และการตีลูกข่าง ซึ่งเป็นการละเล่นของเด็กผู้ชาย และหนุ่ม ๆ เพื่อความสนุกสนานและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงของชาวเขาเผ่าม้ง อาทิ การเป่าแคน การเป่าขลุ่ย และการร่ายรำ ฯลฯ 

ผ้าเขียนเทียน

 


ศิลปะ บนผืนผ้า ภูมิปัญญาชนเผ่าม้ง

            ผ้าเขียนเทียน เป็นศิลปะการสร้างลวดลายบนผืนผ้า เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เป็นภูมิปัญญาและศิลปะโบราณดั้งเดิมที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษถ่ายทอด สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นหลายชั่วอายุคน และยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน เป็นการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยการนำขี้ผึ้งไปต้ม แล้วนำไม้ไผ่ติดปลายด้วยโลหะ จุ่มลากขี้ผึ้งเหลวให้เกิดเป็นลวดลายตามจินตนาการ มักพบเห็นความแปลกตานี้ได้จาก ลวดลายบนกระโปรงของผู้หญิงม้ง ที่ทำขึ้นจากผ้าฝ้ายและย้อมสีครามหรือห้อมทั้งผืน เป็นความสามารถของผู้หญิงชาวม้งทุกคนที่ได้เรียนรู้สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ผ้าเขียนเทียนของชนเผ่าม้งจึงเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลาย ส่วนลวดลายจะสวยงามมากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ความชำนาญในการตวัดมือเขียนเทียนลงบนผืนผ้าของแต่ละคน อ่านเพิ่มเติม

ผ้าทอด้วยกี่หรือหูกพื้นบ้าน

ผ้าทอด้วยกี่หรือหูกพื้นบ้าน 

ประวัติความเป็นมา

            ผ้าพื้นบ้าน ผ้าทอด้วยกี่หรือหูกพื้นบ้าน ตามกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มักทอด้วยฝ้ายหรือไหม ผ้าพื้นบ้านหรือผ้าทอมือมีกรรมวิธีการทอต่างๆกัน เช่น ทอเรียบๆไม่มีลาย เรียกผ้าพื้น ทอเป็นลวดลายเรียก ผ้ายก ทอเป็นลวดลายด้วยการจก เรียก ผ้าจก ผ้าทอเป็นลวดลายโดยการขิด เรียก ผ้าขิด ทอเป็นลวยลายด้วยการมัดย้อม เรียก ผ้ามัดหมี่ เป็นต้น 

           ผ้าพื้นบ้านของไทยในภาคต่างๆ มีกรรมวิธีการย้อม การทอสอดคล้องกับขนบประเพณี และวิถีชีวิตของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งมีรูปแบบและการใช้สอยต่างๆกัน เช่น ผ้าซิ่น ผ้าเบี่ยง ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ผ้าขาวม้า ย่าม และ ตุง เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม

การทำไร่นาสวนผสม

การทำไร่นาสวนผสม

 ความคิดริเริ่มและพยายามฟันฝ่าอุปสรรค

ก่อนที่จะมีแนวคิดมาทำไร่นาส่วนผสมปรับเปลี่ยนแบบอินทรีย์และลดต้นทุนการผลิต ด.ต.ทวีศักดิ์ อุ่นตาล เคยทำการเกษตรปลูกพืชเชิงเดียว เช่น ปลูกข้าวนาปี และนาปรัง ใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช และสัตว์ตรูพืช ทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตรสูงและเป็นอันตรายต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ได้เข้ารับการอบรมโครงการพลังปัญญา โดยมูลนิธิมั่นพัฒนา อยู่ในระดับ 2 เลขที่ 6101179 พะเยา เมื่อปี 2560 ได้เข้าใจและเปลี่ยนแนวคิดเปลี่ยนชีวิตมาทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม ตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ 9 ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อ่านเพิ่มเติม

วัดพระนั่งดิน (พระเจ้านั่งดิน)


วัดพระนั่งดิน (พระเจ้านั่งดิน)

            ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระยาผู้ครองเมืองพุทธรสะได้ค้นพบประวัติ(ตำนาน) เมื่อนมจตุจุลศักราช 1,213 ปีระกา เดือน 6 แรม 3 ค่ำ วันจันทร์ พระพุทธเจ้าได้เสด็จออกโปรดเมตตาสรรพสัตว์โดยทั่วทางอภินิหารจนพระองค์ได้เสด็จมาถึงเขตเวียงพุทธรสะ (อำเภอเชียงคำในปัจจุบัน) พระพุทธองค์ได้ประทับอยู่บนดอยสิงกุตตระ (พระธาตุดอยคำในปัจจุบัน) ทรงแผ่เมตตาประสาทพรตรัสให้พระยาคำแดงเจ้าเมืองพุทธรสะในขณะนั้น สร้างรูปเหมือนพระองค์ไว้ยังเมืองพุทธรสะแห่งนี้ ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสจบก็ปรากฏว่าได้มีพระอินทร์หนึ่งองค์ พระยานาคหนึ่งตน ฤาษีสององค์ และพระอรหันต์สี่รูป ช่วยกันเนรมิตเอาดินศักดิ์สิทธิ์จากเมืองลังกาทวีปเป็นเวลา 1 เดือนกับอีก 7 วัน จึงแล้วเสร็จ ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ได้โปรดสัตว์ทั่วถึงแล้ว จึงเสด็จเข้าสู่เมืองพุทธรสะอีกครั้ง ทรงเห็นรูปเหมือนที่โปรดให้สร้างขึ้นนั้นเล็กกว่าองค์ตถาคต พระพุทธองค์จึงตรัสให้เอาดินมาเสริมให้ใหญ่เท่าพระพุทธองค์ จึงได้แผ่รัศมีออกครอบจักรวาลรูปปั้นจำลองได้เลื่อนลงจากฐานชุกชี(แท่น) มากราบไหว้พระพุทธองค์ตรัสกับรูปเหมือนพระพุทธองค์ที่ได้สร้างขึ้นนั้นว่า “ขอให้ท่านจงอยู่รักษาศาสนาของกูตถาคตให้ครบ 5,000 พระพรรษา” พระรูปเหมือนจึงได้น้อมรับเอาแล้วประดิษฐานอยู่ ณ พื้นดินที่นั้นสืบมา ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัทจึงหมายเหตุเอาพระรูปเหมือนของพระพุทธองค์ว่า พระเจ้านั่งดิน อ่านเพิ่มเติม

เกษตรกรทำสวนผักปลอดสารพิษ

เกษตรกรทำสวนผักปลอดสารพิษ

            เนื่องจากเมื่อก่อนกลุ่มเกษตรกรบ้านวังเค็มเก่า มีอาชีพหลังจากฤดูทำนาแล้ว จะมีอาชีพปลูกยาสูบเพื่อนำส่งและจำหน่ายให้แก่โรงบ่มใบยา ในเขตพื้นที่ ตำบลร่มเย็นและตำบลเชียงบาน ในการปลูกต้นยาสูบนั้น จะต้องมีการดูแลรักษาต้นยาสูบให้มีคุณภาพที่ดี จึงต้องอาศัยใช้ยาและสารเคมีอันตราย โดยมีความรู้ความเข้าใจในวิธีการใช้ไม่ถูกต้อง ในการป้องกันอันตราย ต่อสุขภาพของเกษตรกรเอง ทำให้เกษตรกรบางรายได้รับสารพิษสะสมอยู่ในร่างกายเริ่มแสดงอาการเจ็บป่วยในภายหลัง เมื่อได้รับคำแนะนำ จากเจ้าหน้าที่เกษตร แล้ว จึงได้รวมกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกยาสูบ มาจัดตั้งกลุ่มพืชผักสวนครัว ขึ้นโดย มีนายเติม วงศ์ใหญ่ อดีตผู้ใหญ่บ้าน นายพัฒน์ บุญศรี หัวหน้ากลุ่มปลูกยาสูบ,นายสมัคร ทองจันทร์ และนายบุญช่วย หายทุกข์ เป็นกลุ่มริเริ่มจัดตั้ง และเลิกการปลูกยาสูบ อ่านเพิ่มเติม

ประเพณีตานขันข้าวร้อยขัน (รอมสลี)

 

ประเพณีตานขันข้าวร้อยขัน (รอมสลี)

            เมื่ออดีตที่ผ่านมา 2000 กว่าปี เมืองเชียงคำแห่งนี้มีนามว่า เมืองชะราว มีปรากฏอยู่ในประวัติ ตำนานพระธาตุดอยคำและ พระเจ้านั่งดิน ในที่นี้จะกล่าวประวัติความเป็นมาแห่งประเพณีทานขันข้าวร้อยขัน ณ พระธาตุรอมสลี เป็นประเพณีที่ปฎิบัติกันมานาน เมื่อประมาณ 700 ปีที่ผ่านมา มีพระยาผู้ครองเมืองแห่งนี้ไม่ปรากฏนามไว้เป็นหลักฐาน ได้ตั้งถิ่นฐานคุ้มพระราชวังอยู่ที่บ้านคุ้ม ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งบริเวณวัดคุ้ม ตำบลร่มเย็น ตามประวัติตำนานที่มีผู้สูงอายุในบ้านคุ้มได้เล่าสืบกันมาว่าพญาผู้ครองเมืองแห่งนี้มีความเชื่อและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีความเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยเป็นอย่างมาก ผู้คนในสมัยก่อนนิยมกินหมากเป็นส่วนมาก รวมทั้งพระสงฆ์ เป็นความนิยมในแต่ละยุคสมัยมีวัดซึ่งตั้งอยู่ในทิศตะวันตกของคุ้มพระราชวัง มีพระเถระผู้ปฎิบัติชอบตามพระธรรมวินัยเป็นอย่างมากผู้คนร่วมทำบุญรักษาศีลที่วัดเป็นประจำ ประชาชนคนทั้งหลายเรียกว่าวัดป่าเนื่องจากในบริเวณและนอกบริเวณวัดเต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบรูณ์ มีความสงบร่มเย็นแม้แต่พญาเจ้าเมืองพร้อมครอบครัวเสนาอำมาตย์ เหล่าทหารทั้งหลายพากันไปเข้าวัดมิได้ขาด
            ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน วันหนึ่งซึ่งเป็นวันพระพอดี ปูนกินหมากของครูบาปัญญาหมด ครูบาปัญญาจึงได้บอกให้เณรรูปหนึ่งนำต้นปูนเปล่าไปขอปูนกินหมากที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งขณะนั้นผู้ใหญ่บ้านไม่อยู่ นางผู้เป็นภริยาของผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้เคารพจารีตประเพณี จะไม่ยอมตักปูนออกจากหม้อปูนใหญ่ในวันพระจึงได้มอบต้นปูนของตนเองยกให้นำไปถวายครูบา ใช้ไปก่อนวันพรุ่งนี้จะตักใส่ให้ใหม่ แล้วนำไปเปลี่ยนเอาต้นปูนของนางกลับมา เณรก็นำต้นปูนของภริยาผู้ใหญ่บ้านไปถวายครูบา แต่พอรุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านมีกิจธุระที่วัด ก็เห็นต้นปูนในขันหมากของครูบาปัญญาจำได้แน่นอนว่าเป็นต้นปูนของภริยาตนเอง ทำไมจึงมาอยู่ที่ขันหมากของครูบา จึงสอบถามความเป็นมาของต้นปูนกับครูบาๆก็เล่าตามความเป็นจริงให้กับผู้ใหญ่บ้านฟัง อ่านเพิ่มเติม

วัดเสาหิน

วัดเสาหิน

            จากการสัมภาษณ์ นายสนั่น วงศ์แพทย์ (บ้านเลขที่ 142 บ้านปัว) และนางจำนองค์ สุภา (ชาวบ้านปัว) มีที่ดินติดกับโบราณสถาน)  ทราบว่า เดิมบริเวณนี้มีสภาพเป็นเนินดิน สูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ 1.5-2.0เมตร จน พ.ศ. 2515 จึงเริ่มถูกไถปรับที่พื้นทำไร่ และและไถปรับมาเรื่อยๆต่อมามีนายทุนจากกรุงเทพฯ มาชื้อที่ดินแปลงนี้ และขอออกโฉดที่ดิน จึงถูกไถปรับจนมีสภาพปัจจุบัน ชาวบ้านปัว เห็นว่า เป็นการทำลายของเก่าโบราณ ควรรักษาไว้เป็นมรกดของบ้านปัว จึงคัดค้านต่อต้าน และเริ่มก่อตั้งเป็นสำนักงานสังฆ์ดังปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 ศูนย์ข้อมูลความรู้ประชาชนจังหวัดพะเยา. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand